All New Pajero Sport 2.4 L
โฉมสปอร์ตเฉี่ยวเผยเต็มกำลัง

LINE it!

      ถึงแม้มีจะรถอเนกประสงค์ให้เลือกอยู่หลายรุ่น แต่ที่สะดุดตาสุดเห็นจะเป็น มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ที่มาพร้อมรูปโฉมที่หล่อเท่เกินหน้าคู่แข่ง  ภายในโทนดำแต่งสีเงินเพิ่มความหรูหรา และกว้างนั่งสะดวกสบาย พร้อมขุมพลังดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตรให้กำลัง 181 แรงม้ากับเกียร์อัตโนมัติใหม่ 8 สปีดที่ตอบสนองอัตราเร่งได้เต็มกำลังและช่วงล่างที่รองรับอย่างมั่นใจ 



รูปทรงปราดเปรียวรอบคัน 


      มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ได้รับการออกแบบรูปทรงภายนอกลู่ลมมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบมุมกันชนหน้า กับเสาเอให้โค้งมน และออกแบบด้านหลังให้เรียวไปยังส่วนท้าย พร้อมออกแบบราวหลังคาและชายกันชนหน้าใหม่ 



     ด้านหน้าในสไตล์ “ไดนามิก ชิลด์” ที่ดูทันสมัยสไตล์สปอร์ตกับไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟเดย์ไทม์แบบสเปคตรัม LED  ส่วนกันชนหน้าใหม่สไตล์โค้งมน กับโป่งข้างซุ้มล้อหน้า-หลังใหม่ พร้อมบันไดข้างกันโคลน และล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว สีทูโทน รวมถึงไฟท้ายแบบสเปคตรัม LED  แนวตั้ง

ภายในกว้างออพชั่นครบ 

     ภายในมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่มาในแบบโทนสีดำ แต่งด้วยสีเงิน ซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น ผสมผสานกับสีดำแบบ Piano Black และล้ำสมัยด้วยคอนโซลแบบทีเชพ-ไฮคอนโซล ที่ยกคอนโซลกลางให้สูงขึ้น เพิ่มความหรูหราและสะดวกในการใช้งานทั้งเกียร์ ปุ่มปรับเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และปุ่มเบรกมือไฟฟ้า



     ส่วนมาตรวัดความเร็วและความเร็วรอบดูง่ายชัดเจน พร้อมจอแสดงข้อมูล และพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ 4 ก้าน สามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง พร้อมเครื่องเสียงคุณภาพแบบ DVD ,CD ,MP3 กับจอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว กับลำโพง 6 ตัว และจอภาพแบบ Wide Screen บนเพดาน 

     สำหรับเบาะนั่งใหม่โอบรับกับสรีระมากยิ่งขึ้น โดยเบาะนั่งหน้าแบบไฟฟ้าปรับระดับได้ 8 ทิศทาง ขณะที่เบาะแถวที่สองสามารถแยกพับแบบ 60:40  ส่วนเบาะแถวที่สามสามารถแยกพับให้ราบไปกับพื้นและระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา  



เทคโนโลยีปลอดภัยจัดเต็ม 

     สำหรับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ถือเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้ ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE Body กับ แชสซีส์เหล็กกล้าและ ถุงลมนิรภัย SRS 7 ตำแหน่ง พร้อมกับระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา ซึ่งทำงานโดยการใช้คลื่นอัลตร้าโซนิค ที่ติดตั้งอยู่บริเวณมุมกันชนทั้ง 4 ด้าน โดยระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา 

     ในขณะเดียวกันเมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนพร้อมสัญญาณเตือนไฟกระพริบบนกระจกมองข้าง ซึ่งจะทำงานที่ความเร็ว 20 - 140 กม./ชม.  ในระยะไม่เกิน 3 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนช่องจราจร

     ถัดมาเป็นระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว   ทำงานโดยใช้คลื่นอัลตร้าโซนิคตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง "D" หรือ "R"  หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5 วินาที ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. 



    ส่วนระบบการเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว จะทำงานผ่านเรดาร์เซ็นเซอร์ของ Bosch ติดตั้งบริเวณกระจังหน้ารถ  ซึ่งทำหน้าที่ช่วยป้องกันการชนด้านหน้าด้วยเสียงเตือนและลดความเร็วอัตโนมัติ  โดยหากใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. พุ่งเข้าหาวัตถุที่ขวางอยู่ด้านหน้า ระบบจะทำการเตือนด้วยสัญญาณบนหน้าปัดไปพร้อมๆกับเสียงเตือน

     แต่หากผู้ขับยังคงไม่เหยียบเบรก ระบบจะทำการสั่งเบรกแบบเต็มแรงให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ แต่หากใช้ความเร็วเกิน 30 กม./ชม.ขึ้นไป ตัวระบบจะทำการสั่งเบรกเพื่อลดแรงปะทะที่อาจเกิดขึ้นแทน

     นอกจากนี้ยังมี กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ ซึ่งทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เผยกำลังเต็มสมรรถนะ 

     ขุมพลังของมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ไมเวค คลีนดีเซล อลูมินัม อัลลอย บล็อก  ขนาด 2.4 ลิตรพร้อม VG เทอร์โบแปรผัน  ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด  430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที และเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีดใหม่พร้อมสปอร์ตโหมดและทำงานควบคู่กับระบบตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก



     ในการทดสอบ  All New Pajero Sport 2.4 L มีให้ขับทั้งรุ่น GT กับ GT Premnium  ซึ่งสลับกันขับในช่วงขาไปทางทีมข่าวรถวันนี้ได้ประเดิมด้วยรุ่นท็อป GT Premnium   ส่วนขากลับเปลี่ยนมาขับรุ่น GT   โดยใช้เส้นทางปทุมธานี-เพชรบูรณ์  รวมระยะทางไปกลับประมาณ 770 กม. ทำให้รับรู้ถึงสมรรถนะโดยรวมที่ลงตัว ทั้งการตอบสนองอัตราเร่ง  การควบคุม และช่วงล่าง     

     ก่อนที่จะบอกถึงการทดสอบมาว่ากันที่รูปโฉมของปาเจโร่ ซึ่งจัดว่าเป็นจุดขายเพราะดีไซน์ออกมาได้แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหน้าตาที่หล่อเท่เด่นที่ขอบโครเมียมที่เชื่อมต่อจากไฟหน้าหักมุมรับกับกันชนหน้า และไฟท้ายทรงแนวตั้งที่แปลกตาดูแล้วคล้ายอักษรตัว P  ซึ่งเล่นลากยาวมาจดกันชนหลัง    

     แต่เสียดายเมื่อมามองด้านท้ายจะเห็นกันชนหลังดูจะสั้นไปหน่อย เลยทำให้มองเห็นยางอะไหล่ พร้อมกับฝากระโปรงหลังยังเป็นแมนนวล...น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบไฟฟ้า  รวมถึงสปอยเลอร์หลังที่ไม่ยอมติดตั้งมาให้ด้วย และเสาอากาศบนหลังคาที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าน่าจะเปลี่ยนเป็นแบบครีบฉลามจะดูดีขึ้น



      ส่วนภายในหลังจากได้นั่งเป็นผู้โดยสาร บอกได้เลยว่าเบาะแถวสองปรับเอนค่อนข้างลำบากเพราะตัวปรับอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยถนัดมือ กับช่องต่อ USB ที่ไปซ่อนอยู่ในกล่องเก็บของ ควรจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ 

     ที่ผ่านมาได้แค่ขับในสนามทดสอบแบบช่วงสั้น ๆ มาคราวนี้เป็นทริปขับเที่ยวแบบยาว ๆ ซึ่งช่วงแรกค่อนข้างพอใจ ตั้งแต่ออกตัวที่จะต้องลากน้ำหนักรถถึง 2 ตันกว่าก็ตาม แต่ด้วยแรงบิดที่ให้มา 430 นิวตันเมตร ก็เพียงพอที่จะสามารถขับเคลื่อนออกไปได้แบบสบาย ๆ  และเรียกกำลังให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไต่ระดับความเร็วได้ทันที 



     ขณะเดียวกันเมื่อมาสังเกตุถึงการทำงานของเกียร์อัตโนมัติที่มีให้ถึง 8 สปีดจะรับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อกันในทุกจังหวะได้อย่างนุ่มนวลและลื่นไหล ทั้งนี้เพราะอัตราการทดเกียร์ที่ชิดกัน ซี่งในโหมดเกียร์ D สามารถขับลากรอบประมาณ 2,000 รอบ  เพียงพักเดียวความเร็วมาที่ 100 กม./ชม.ที่ 1600 รอบต่อนาที ซึ่งใช้รอบเครื่องไม่มากน่าจะให้ความประหยัดมากขึ้น 

     ส่วนโหมดแมนนวลมีให้เล่นที่ด้ามเกียร์แบบ + -  พร้อมกับแพดเดิ้ลชิฟที่พวงมาลัยสามารถใช้เปลี่ยนเกียร์ได้เลย แม้จะอยู่ในโหมดเกียร์ D ทำให้ง่ายในการเปลี่ยนเกียร์  แต่เวลาใช้ต้องรีบเปลี่ยนเกียร์ให้ไวจะมั่วมาลากรอบยาวคงไม่สมูทเท่าไหร่  และถ้าให้กลับมาอยู่ที่เกียร์ D ตามเดิมแค่กดก้าน + ค้างไว้ 2 วินาทีก็เปลี่ยนให้ทันที   



    ระหว่างทางในช่วงจังหวะเร่งแซงรถคันอื่น ถ้าหันมาใช้แพดเดิ้ลชิฟในการเชนเกียร์ลงจะช่วยให้เพิ่มกำลังในการแซงได้อย่างฉับไวยิ่งขึ้น  และถ้าเพิ่มเกียร์ขึ้นยิ่งทำให้รถจะพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และบางช่วงที่ขับเข้าไปใกล้รถคันหน้าระบบจะส่งเสียงเตือนทันทีและชะลอความเร็วให้

     มาที่ช่วงล่างที่ด้านหน้าแบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง     กับด้านหลังแบบทรีลิงค์ ทอคล์อาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง  ที่รองรับได้อย่างน่าพอใจ เพราะตลอดการเดินทางให้ความนุ่มนวลใช้ได้ แม้จะเจอกับถนนหนทางที่ขรุขระบ้าง..แต่ได้รับการสะเทือนไม่มากเท่าไหร่ ยกเว้นว่านั่งเบาะหลังจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้างบริเวณซุ้มล้อหลัง   



     ขณะเดียวกันแม้ว่าAll New Pajero Sport 2.4 Lจะวิ่งด้วยความเร็วระดับ 150 กม./ชม.ที่ 2500 รอบ ยังทรงตัวได้นิ่งเช่นเดียวกับทางโค้งที่หนึบแน่นใช้ได้ พร้อมพวงมาลัยที่ให้น้ำหนักเหมาะมือไม่หนักหรือเบาเกินไป โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้งหมุนได้อย่างแม่นยำ  และในเรื่องของเสียงลมถ้าใช้ความเร็วระดับ 120 กม./ชม.จะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินบ้าง ส่วนเสียงเครื่องยนต์มีได้ยินเล็กน้อยเวลาเร่งแซงเท่านั้น       

     เมื่อมาถึงเขาค้อ  จังหวัดเพชรบูรณ์ หลังจากชมวิวทิวทัศน์แล้วได้เวลาเดินทางต่อ พอขยับเข้าเกียร์ถอยหลังจะเห็นภาพด้านหลังและด้านข้างที่จอมอนิเตอร์ ทำให้มองเห็นสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านข้างรถได้อย่างชัดเจน  จากนั้นสามารถกะระยะในการถอยออกได้อย่างง่ายดาย และมีช่วงที่ต้องลงทางลาดชัน จึงลองใช้ระบบ HDC ที่มาช่วยหน่วงเบรกทำให้ขับลงทางลาดชันได้อย่างสบาย  แต่ความเร็วต้องไม่เกิน 20 กม./ชม.

 

    และสบายยิ่งขึ้นด้วยแอร์ที่เย็นทันใจ ที่สำคัญยังมีแอร์เป่าที่เท้าด้วย  จากนั้นพอเจอฝนระหว่างทางระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติที่มีเซนเซอร์อยู่ที่กระจกหน้าสามารถทำงานได้ทันทีแม้ว่าฝนจะโปรยลงมานิดเดียวก็ปัดแล้ว   

     ปิดท้ายในช่วงเช้ากับการขับในแบบออฟโรด ซึ่งพื้นที่ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่และเวลาจำกัด ทำให้ไม่สามารถทดสอบด้วยตนเอง แต่ต้องเป็นผู้โดยสารแทน โดยใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่เปลี่ยนเป็นโหมด 4LLc  ที่ง่ายขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า แค่หมุนปุ่มที่อยู่บริเวณคอนโซลกลาง  ซึ่งทำให้ขับผ่านโคลนลื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจ 

     สรุปโดยรวม มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ตใหม่ (All New Pajero Sport 2.4 L ) เด่นด้วยรูปโฉมเฉี่ยวในทุกมุม ภายในหรูกว้างสบายออพชั่นครบทันสมัย พร้อมขุมพลังดีเซล 2.4 ลิตรที่ให้พละกำลังได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่เปลี่ยนอย่างนุ่มนวลและช่วงล่างทรงตัวดี ทำให้สามารถขับขี่ได้อย่างลงตัว